คำถาม "ทำไมวิ่งแล้วปวดหลัง" เป็นอีกหนึ่งคำถาม classic ที่หลายคนถามเข้ามาที่เพจไทยรันเยอะมาก โพสต์นี้มีวิธีที่ช่วยลดอาการปวดหลัง อันเกิดจากการวิ่ง มันจะช่วยให้คุณวิ่งได้ดีขึ้น
.
สาเหตุของการปวดหลังมีหลากหลาย อาจจะเกิดจากการนอนบนเบาะที่นุ่มโค้งเกินไป อาจเกิดจากการนั่งทำงานเยอะเกินไป หรืออาการจากการเจ็บป่วย ซึ่งอาการเหล่านั้นต้องปรึกษาแพทย์
.
แต่ถ้าคุณมั่นใจว่า เมื่อก่อนไม่เคยปวดหลังเลย แต่พอมาวิ่งก็ปวดหลังตลอดเลย อาการปวดหลังของคุณเกิดจากการวิ่งแน่ๆ ถ้าเป็นแบบนี้ บทความนี้ช่วยคุณได้แน่นอน
.
1
#ปล่อยให้แขนแกว่งตามจังหว่ะเท้า
.
หลายคนมาก (โดยเฉพาะนักวิ่งหน้าใหม่) ไม่รู้ตัวเอง ว่าตอนวิ่งตัวเองแกว่งแขนน้อยมาก หรือแทบไม่แกว่งแขนเลย คือมือจะลอยๆอยู่บริเวณลำตัว ค่อนไปข้างหน้า และแกว่งน้อยมากโดยไม่รู้ตัว (อาการนี้มักเกิดกับคนกำโทรศัพท์มือถือไว้ ถ้าสังเกตุดู เวลาเรากำมือถือไว้ เราจะแกว่งแขนนั้นน้อยมาก หรืออาจจะเกิดจากความเคยชินที่ตอนเดิน มือเราแทบไม่แกว่ง)
.
การไม่แกว่งของแขนมีผลทำให้ร่างกายไม่สมดุลในขณะวิ่ง เนื่องจากขาที่ก้าวซ้ายขวาโยกไปมา ร่างกายต้องการสมดุลเพื่อไม่ให้แกว่งหรือล้ม ถ้าแขนไม่แกว่ง ร่างกายเราจึงเกร็งตัวโดยอัตโนมัติ และเมื่อเกร็งอยู่แบบนั้นนานๆในระยะ 10K, 21K หรือ 42K ร่างกายจะล้า และจะเกิดอาการปวดบริเวณกล้ามเนื้อแผ่นหลัง
.
ข้อนี้ต้องคอยสังเกตุตัวเองตอนวิ่ง และแก้ได้ไม่ยาก แค่เราปล่อยแขนให้แกว่งตามธรรมชาติของจังหว่ะการวิ่งก็จะช่วยได้เยอะแล้ว (ถ้าให้ดี พวกโทรศัพท์ พวงกุญแจ ขวดน้ำ เหล่านี้ไม่ควรกำไว้ หรือถือไปเวลาวิ่ง ควรจะพกไว้ในกระเป๋ากางเกง หรือที่คาดเอวแทน)
.
2
#วิ่งให้ตัวตรงขึ้นไม่บิดซ้ายบิดขวา
.
อันนี้ลองสังเกตุตัวเอง ว่าเวลาเราวิ่ง ตัวเราบิดซ้ายบิดขวาหรือป่าว การสังเกตุง่ายๆก็คือ ตอนที่ลงเท้าขวา มือซ้ายเราแกว่งไปทางสะโพกขวาหรือป่าว และ เวลาลงเท้าซ้าย มือขวาแกว่งมาทางสะโพกซ้ายเยอะเกินไปหรือป่าว ถ้าเป็นแบบนั้นชัด แสดงว่าเรา #วิ่งตัวบิด
.
การวิ่งตัวบิด เป็นสาเหตุต้นๆของการวิ่งแล้วเจ็บหลังเลยหล่ะ เพราะเวลาร่างกายเราบิดไปบิดมาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ตลอดระยะการวิ่ง เป็นชั่วโมงหรือสองชั่วโมง ร่างกายเราก็จะปวดบริเวณเอวและแผ่นหลังเป็นธรรมดา
.
การแก้ก็ต้องสังเกตุตัวเอง ถ้ารู้ว่า วิ่งตัวบิด ก็แก้ได้ไม่ยากนัก แก้โดยการแกว่งแขน ให้แขนแกว่งไปหน้าลำตัว ขนานกับเส้นทางวิ่ง พอแกว่งแขนไปหน้าลำตัว ร่างกายเราจะสมดุลขึ้นและ ค่อยๆลดการบิดซ้ายบิดขวาเองโดยอัตโนมัติ ค่อยฝึกจนให้ร่างกายชิน แต่ต้องระวังว่าไม่ฝืนจนเกินไป เดี๋ยวจะกลายเป็นเกร็งเกินไปอีกนะจ๊ะ
.
3
#วิ่งให้ตัวตั้งไม่โยกซ้ายไม่โยกขวา
.
อีกท่าวิ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังบ่อยๆคือ การวิ่งแล้วตัวโยกซ้ายทีโยกขวาที อาการนี้ต่างจากข้อที่แล้ว คือไม่ได้บิดตัว หน้ายังคงตรงไปเส้นทางวิ่ง แต่ตั้งแต่หัว คอ และไหล่ เอียงไปทางซ้ายเมื่อลงเท้าซ้าย และพอลงเท้าขวา หัว ไหล่และลำตัว ก็เอียงไปทางขวาอีก
.
อาการนี้จริงๆแล้วทำให้เกิดการบาดเจ็บหลายจุดเลย ไม่เพียงแค่เจ็บหลัง เพราะในจังหว่ะที่ร่างกายโยกซ้าย แล้วจะต้องลงเท้าขวา กล้ามเนื้อเราต้องออกแรงดึงตัวเรากลับมาทางขวา แล้วมันก็เอียงไปทางขวาเกินไป แล้วต้องดึงตัวกลับมาทางซ้ายอีก ถ้ากล้ามเนื้อข้างเท้าเราไม่แข็งแรง เราก็จะปวดตรงนั้นเป้นที่แรก ถัดมาคือ กล้ามเนื้อข้างเข่า แล้วจึงกล้ามเนื้อแผ่นหลังที่จะปวดตามมา
.
เห็นมั้ยหล่ะครับการวิ่ง ไม่ได้ใช้แค่เท้านะ การแกว่งแขนก็เกี่ยว การโยกหัวโยกลำตัวก็เกี่ยว ทั้งสามเทคนิคที่ว่ามานี้ จะช่วยบรรเทาอาการวิ่งแล้วปวดหลัง เพราะมันทำให้คุณวิ่งในท่าวิ่งที่เป็นธรรมชาติขึ้น ผ่อนคลายขึ้น และสมดุลขึ้น แต่ถ้าอยากจะแก้อย่างหายสนิท เราแนะนำให้ฝึก core body หรือ แกนกลางลำตัวแข็งแรงขึ้น เพราะถ้า core body แข็งแกร่งขึ้นแล้ว อาการการวิ่งบิดไปมา หรือ โยกซ้ายโยกขวาก็จะหายไปเองโดยอัตโนมัติ กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวแข็งแรง การวิ่งก็จะวิ่งดีขึ้นด้วย อาการบาดเจ็บก็จะลดน้อยลงจ่ะ
.
ขอให้วิ่งให้สนุกนะ
ออกมาวิ่งด้วยกัน
แข็งแรงไปด้วยกัน
อยู่รักกันไปนานๆ
.
#ThaiRun | คิดถึงการวิ่ง คิดถึงไทยรัน
.
Photo: #บีม THAIRUN brand ambassador
เสื้อวิ่ง Run to Kyoto
สมัครได้ที่ http://race.thai.run/kyoto
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น