ss-เขียนเอง

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

'เฮลตี้ไอดอล'80ยังแจ๋ว! เจ้าของฉายา'คุณป้ายอดนักวิ่ง'

อายุเป็นเพียงตัวเลข! เปิดชีวิต "ป้านัน-สุนันทา" ยอดนักวิ่งมาราธอน วัย 80 ปี เจ้าของฉายา "คุณป้ายอดนักวิ่ง"

"คนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับป้า ที่ยังเป็นนักวิ่งอยู่ ตอนนี้มีไม่มากแล้ว ยิ่งถ้าเป็นนักวิ่งมาราธอนที่อายุ 80 ปีขึ้นไปด้วยแล้ว ตอนนี้ก็เห็นจะมีแต่ป้าคนเดียว” ...เสียงจาก “ป้านัน-สุนันทา เลื่อมประภัศร์” ที่นักวิ่งรุ่นลูกรุ่นหลานให้ฉายาว่า “คุณป้ายอดนักวิ่ง” บอกกับเรา ซึ่งด้วยวัย 80 ปีของคุณป้า หรือจะเรียกว่า คุณย่า-คุณยาย ก็คงจะได้ เรื่องนี้จึงไม่ธรรมดา!!...

ชื่อเสียงของ “ป้านัน-สุนันทา” นั้นเลื่องลือในกลุ่ม “นักวิ่งมาราธอน” โดยเจ้าของเรื่องราวเล่าว่า จนถึงปัจจุบัน เคยเข้าร่วม วิ่งมาราธอน ประเภทฟูลมาราธอน (ระยะทางราว 42 กิโล เมตร) มาแล้วถึง 53 ครั้ง โดยรายการสุดท้ายคือตอนอายุ 78 ปี หรือกว่า 2 ปีที่แล้ว ทั้งนี้ เราอดทึ่งไม่ได้ว่า ด้วยวัย 80 ปี ถ้าเป็นผู้สูงวัยท่านอื่นก็คงนอนพักผ่อนอยู่กับบ้าน หรือไม่ก็ต้องพึ่งรถเข็นกันแล้ว แต่กับคุณป้า สุขภาพ ยังแข็งแรง ยังวิ่งได้ แถมหน้าตาดูอ่อนกว่าวัย และกับเรื่องรูปร่าง ก็ยังดู ฟิตแอนด์เฟิร์ม ด้วย... “มีสาว ๆ หลายคนบอกป้าว่า ถ้าพวกเธอมีรูปร่างแบบป้า เธอจะแต่งตัวให้สะบัดไปเลย” ...ป้านันบอกพร้อมรอยยิ้ม
        
ก่อนจะเล่าต่อไปว่า รายการมาราธอนล่าสุดที่เข้าร่วม คือวังขนาย ซูเปอร์มินิฮาล์ฟ มาราธอน ครั้งที่ 7 ระยะทาง 14 กิโลเมตร ซึ่งจัดขึ้นที่ จ.กาญจนบุรี ที่เป็นรายการวิ่งทำบุญ โดยรายการนี้คุณป้าเคยเข้าร่วมวิ่งทุกครั้ง เนื่องจากรายได้จากรายการนี้ทางผู้จัดจะนำไปช่วยเหลือคนแก่ กับผู้พิการสูงวัย ที่ถูกลูกหลานทอดทิ้ง แถมคุณป้ายังควักเงินส่วนตัวร่วมทำบุญอีกด้วย
          
“หลายคนบอกว่าเราเป็นไอดอลของเขา (ยิ้ม) บางคนก็บอกว่าจะวิ่งให้ได้จนถึงอายุเท่าป้าก็มี ซึ่งตั้งแต่ป้าเริ่มวิ่งมาจนถึงวันนี้ 30 ปี แทบไม่ต้องไปหาหมอเลย หยูกยาก็ไม่ต้องกิน และไม่เคยป่วยหนักถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อเลย”
        
...ป้านันบอกเรา พร้อมทั้งเล่าอีกว่า เรื่องอาหารเสริม ไม่เคยแตะต้อง แต่จะทานวิตามินไม่กี่อย่าง ที่คนรุ่นคุณป้านั้นจะต้องทาน เช่น วิตามินเอ วิตามินอี สังกะสี และเลซิติน เป็นต้น แต่ก็ไม่ได้ทานทุกวัน คืออยากทานก็ทาน อยากเว้นก็เว้น
        
นอกจากเรื่องสุขภาพที่แข็งแรงแล้ว ที่หลายคนชอบถามคือเรื่องของ เส้นผมบนศีรษะยังดกหนา และไม่ขาวโพลนไปทั้งศีรษะเหมือนคนแก่คนอื่น ๆ ซึ่งป้านันเผยว่า ในชีวิตไม่เคยทำสีผมเลย หน้าตาก็ไม่แต่ง เพราะแต่งไม่เป็น โดยเรื่องแต่งหน้านี้ คุณป้าเล่าว่า ตอนสาว ๆ ตอนทำงานเป็นเลขานุการของนายที่เป็นต่างชาติ คุณป้าก็ยังไม่แต่งหน้าไปทำงานเลย
           
คุณป้าเล่าย้อนชีวิตให้ฟังว่า เป็นคนฉะเชิงเทรา โดยหลังเรียนจบชั้น ม.6 ก็มาเรียนต่อด้านเลขานุการและการบัญชี ที่โรงเรียนกรุงเทพบัญชีวิทยาลัย (บีบีซี) ซึ่งเป็นคนที่ชื่นชอบวิชาพิมพ์ดีด และชวเลข โดยคุณป้าถนัดพิพม์ดีดทั้งไทย-อังกฤษ 
          
“พอเรียนจบปุ๊บ ป้าก็ทำงาน เลย เพราะอยากได้เงิน” ป้านันบอกอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะเล่าถึงเรื่องงานต่อไปว่า เริ่มทำงานครั้งแรกที่บริษัทสัญชาติอเมริกันชื่อซี-ซัพพลาย  จากนั้นย้ายไปบริษัทขายยาต่างประเทศที่มีออฟฟิศในไทยอยู่ 7 ปี ก่อนจะเป็นเลขา นุการผู้จัดการฝ่ายขายสายการบินเคแอลเอ็ม และย้ายไปเป็นเลขานุการให้เอ็มดีสายการบินแควนตัสนานถึง 23 ปี
        
ทั้งนี้ คุณป้าได้เล่าแบบติดตลกว่า ทำงาน กับสายการบินมา 30 กว่าปี แต่ไม่เคยคิดจะเป็นแอร์โฮสเตสเลย ซึ่งตลอดเวลาที่ทำงาน มีนายต่างชาติมากถึง 30 คน หรือเฉลี่ยแล้วจะต้องทำงานร่วมกับเจ้านายคนใหม่ตกปีละ 1 คนนั่นเอง
        
“ป้ารู้ตัวว่าเป็นคนไม่เก่ง จึงพยายามหมั่นหาความรู้อยู่ตลอด อย่างเช่นไปเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มเติมที่เอยูเอ พอเรียนเสร็จจึงเข้าออฟฟิศไปทำงาน ซึ่งช่วงชีวิตตอนนั้น ตอนที่ทำงานกับสายการบิน ป้าถือเป็นช่วงที่ดีมาก เพราะได้มีโอกาสเดินทางไปทั่ว ทั้งในและต่างประเทศ แบบนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งช่วยเปิดหูเปิดตาให้ป้าได้อย่างมากจริง ๆ” 
        
เรื่อง “ความทุ่มเท” เป็นอีกคุณสมบัติประจำตัวของคุณป้ายอดนักวิ่งคนนี้ โดยป้านันเล่าว่า ตอนทำงานนั้นทุกวันจะไปถึงที่ทำงานก่อนเจ้านายเสมอ และจะกลับหลังจากเจ้านายกลับไปแล้วเท่านั้น... “ชีวิตเราต้องอาศัยเงินเดือน ต้องทำให้ดี อีกอย่างป้าเองเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุ 16 ปี ต้องดูแลตัวเองมาตลอด เหตุนี้มั้งที่ทำให้เข้มแข็งได้กับทุกเรื่อง” ป้านันระบุ
        
ด้านชีวิตครอบครัวนั้น ป้านันบอกว่า มีลูกชาย 2 คน และเป็น “คุณหมอ” ทั้งคู่ โดยหลังจากที่ลูก ๆ แต่งงานก็มีหลาน ๆ ให้คุณป้า 4 คน โดยใน 4 คนนั้นมีหลานสาว 2 คนที่เป็นฝาแฝด และหลานสองคนนี้ขณะนี้ก็กำลังเรียนหมออีกด้วย
        
“ชีวิตตอนนี้ มีความสุขดีแล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้องเป็นห่วงมากมาย ตอนนี้นอกจากไปเข้าวัดฟังธรรมฟังเทศน์ ที่เหลือก็คือการวิ่ง ล่าสุดใกล้ ๆ นี้ก็จะไปวิ่งที่เวียด นาม และเดือน พ.ย. ก็จะบินไปวิ่งมาราธอนที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น”
        
กับการวิ่งในต่างประเทศนั้น ป้านันเผยว่า อยากไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง ซึ่งที่ผ่านมาไปวิ่งมาแล้วหลายประเทศ เช่น โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น, ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา, เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย, ฮ่องกง และเซี๊ยะเหมิน ประเทศจีน, กัวลาลัมเปอร์ และปีนัง ประเทศมาเลเซีย และที่ประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ ในกัมพูชา ลาว ก็เคยไปวิ่งมาราธอนมาแล้วเช่นกัน
        
“ถ้าเป็นการวิ่งที่ต่างประเทศ ป้าจะเลือกประเภทมินิมาราธอน เพราะมีระยะทางไม่ไกลมาก”
        
ป้านันบอกว่า สมัยก่อนเวลาเดินทางไปต่างประเทศ จะเน้นเที่ยว กิน ชอปปิง เป็นหลัก แต่หลังจากได้เข้าสู่ “โลกของการวิ่ง” แล้ว หากไปต่างประเทศก็จะเน้นไปวิ่งมากกว่าเที่ยว โดยจะได้ความรู้สึกที่แตกต่างไปอีกแบบ แตกต่างจากวิ่งในประเทศไทย  “นอกจากจะได้ดูวิวสวย ๆ ป้ายังได้เพื่อนใหม่ ๆ จากการวิ่งมาราธอนด้วย” คุณป้าระบุ
        
“ทีมวิถีชีวิต” ได้ขอให้ป้านันเล่าถึงเหตุการณ์ที่ชักนำให้เข้าสู่ “โลกของการวิ่ง” กับเรื่องนี้คุณป้าเล่าว่า เกิดจากตอนที่สามีของคุณป้าป่วยเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบ ต้องเข้าผ่าตัดทำบายพาส โดยหลังจากผ่าตัดคุณหมอได้แนะนำให้สามีคุณป้าต้องออกกำลังกาย เพื่อไม่ให้กลับมาเป็นโรคนี้อีก สามีคุณป้าจึงต้องวิ่งออกกำลังกายที่สนามกีฬาใกล้บ้าน โดยตอนนั้นคุณป้าแค่นั่งรอเป็นเพื่อน แต่หลังจากนั่งรอหลายครั้ง รู้สึกเบื่อ จึงตัดสินใจลุกขึ้นมาวิ่งกับสามี และนับแต่นั้นเป็นต้นมา จนถึงวันนี้ คุณป้าก็ยังไม่หยุดที่จะวิ่ง
        
“พอต้องนั่งรอทุกวัน วันละ 1-2 ชั่วโมง ป้าก็เบื่อสิ (หัวเราะ) ก็เลยลองวิ่งดูบ้าง เริ่มจาก 100 เมตร 200 เมตร และค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็น 400 เมตร และ 800 เมตร จากนั้นพอรู้ว่ามีงานวิ่งจัดขึ้นที่ไหน ก็จะไปสมัครวิ่งด้วย” ป้านันบอก ก่อนจะย้ำว่า เป้าหมายของนักวิ่ง บางคนอาจวิ่งเพื่อหวังที่จะได้เหรียญหรือรางวัล แต่สำหรับคุณป้านันแล้ว “เป้าหมายสำคัญ” คือการวิ่ง “เพื่อสุขภาพ” เท่านั้น ส่วนรางวัลใด ๆ ที่ได้รับนั้นถือเป็นกำไรให้กับชีวิต
        
อย่างไรก็ตาม แม้จะรักการวิ่งมาราธอนเป็นชีวิตจิตใจ แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่ป้านันหยุดวิ่งมาราธอนเช่นกัน อันเป็นผลที่เกิดจากสภาพจิตใจในตอนนั้นที่ไม่พร้อม โดยเรื่องนี้ป้านันเล่าว่า หลังวิ่งมาได้ 16 ปี และกำลังสนุกนั้น สามีของคุณป้าก็มาเสียชีวิต ทำให้ไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำอะไร แม้แต่การวิ่ง  โดยช่วงนั้นคุณป้าหยุดวิ่งไปนานถึง 2 ปี จนเพื่อน ๆ ต้องมาตามให้กลับไป

“พอหายไป เพื่อนที่เคยวิ่งก็มาตามให้กลับไปวิ่ง เขาคงกลัวจะเฉาตายมั้ง (หัวเราะ) ป้าจึงตัดสินใจกลับมาวิ่งอีกครั้งหนึ่ง เพราะคิดได้ว่า  ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องดูแลตัวเองต่อไป และต้องมีชีวิตอยู่ให้ดีที่สุดให้ได้” ป้านันกล่าว
                                         
สำหรับ “หลักประจำใจ” ของคุณป้ากับการวิ่งนั้น ป้านันบอกว่า หลักการวิ่งของคุณป้าคือวิ่งตามกำลังเท่าที่ตนเองมีและวิ่งได้ อย่าฝืนเกินไป หรือได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น ทั้งนี้ เพราะจุดมุ่งหมายในการวิ่งมาราธอนของคุณป้านั้น ไม่ใช่เพื่อแข่งกับใคร แต่ต้องการวิ่งเพื่อความสุขมากกว่า อย่างไรก็ตาม ในการทำอะไรทุกอย่างนั้นก็จำเป็นที่จะต้องมีการฝึกฝนและเรียนรู้เช่นกัน แม้แต่เรื่องของ “การวิ่งมาราธอน” โดยคุณป้าให้คำแนะนำว่า “การจะเป็นนักวิ่งที่ดี ก็ควรศึกษาความรู้เกี่ยวกับการวิ่ง รวมถึงกฎกติกามารยาทในการวิ่งเอาไว้บ้าง ไม่เช่นนั้นก็จะวิ่งแบบสะเปะสะปะ และไม่มีเป้าหมายอะไรเลย” 

วันนั้น ก่อนจากกัน “ทีมวิถีชีวิต” ถามถึง “การเตรียมตัวก่อนลงวิ่งมาราธอน” ในแต่ละครั้งว่า ต้องเตรียมตัวแค่ไหน? คุณป้ายิ้ม และตอบว่า ไม่ได้เตรียมตัวอะไรพิเศษ เพราะรุ่นนี้แล้วคงไม่ต้องซ้อมมากนัก แต่ก็ได้ฝากไปถึงคนที่กำลังจะตัดสินใจเข้าสู่โลกของการวิ่งมาราธอนว่า... การวิ่งคือการออกกำลังกายที่ดีอีกวิธีหนึ่ง เพราะลงทุนไม่มาก แถมสิ่งที่ได้จากการวิ่งก็คือสุขภาพที่ดี โดยตั้งแต่คุณป้าเริ่มวิ่งมาราธอน คุณป้าแทบจะไม่เคยป่วยหนัก ๆ เลย ซึ่งสำหรับป้านันแล้ว แค่นี้ก็คุ้มค่าที่สุดแล้ว

         “ถ้ามีใครถามป้าว่าจะวิ่งไปถึงเมื่อไหร่ ป้าคงตอบสั้น ๆ ได้แค่ว่า... จนกว่าป้าจะวิ่งต่อไม่ไหวนั่นแหละ...”.


-------------------------
สุภารัตน์ ยอดศิริวิชัยกุล : เรื่อง
สันติ มฤธานนท์ : 
ที่มา : https://www.dailynews.co.th/article/595832

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น